Exclusive Talk with Chirayu Na Ranong Chef/Owner : Chu & Chocolate Bar Bangkok
- theordermagazine6
- Mar 20, 2016
- 3 min read
Absolute Life
ความพอดีที่ยั่งยืน

การประกอบธุรกิจร้านอาหารคาเฟ่ในปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเห็นว่าร้านอาหารแนวคาเฟ่ ต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นมากมาย เป็นผลมาจากกระแสสังคมไทย
นิยมตามเทรนด์ จึงส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารคาเฟ่ต่างงัดกลยุทธ์วิธีต่าง ๆ มาดึงดูด ลูกค้ากันมากขึ้น
เต้ย จิรยุว์ ณ ระนอง ผู้บริหารร้าน Chu & Chocolate Bar ผู้มีความเด็ดเดี่ยว ไม่ขอตามเทรนด์ใคร และยังเคารพในความเป็นตัวของตัวเอง จะบอกเล่าถึงประสบการณ์ในการทำธุรกิจแนวคาเฟ่ ที่สามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องตามกระแส

ความฝันในวัยเด็ก
ผมจบการศึกษาด้านนิเทศศาสตร์ที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย ด้วยความฝันที่อยากจะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ส่วนการทำอาหารผมเป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้วเป็นทักษะติดตัวที่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะกลาย มาเป็นอาชีพได้ทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยได้เข้าใกล้การเป็นผู้กำกับเลย
เพราะผมเริ่มต้นการทำงานด้วยการเป็นนักเขียน เขียนรีวิวร้านอาหารให้นิตยสารภาษาอังกฤษเล่มหนึ่ง จากนั้นก็ย้ายมาทำแนวท่องเที่ยว การได้เดินทางไปพบและชิมอาหารต่าง ๆทำเกิดความรักการทำอาหารของผมชัดเจนขึ้น
ความเป็นคาเฟ่ที่แท้จริง
ผมว่ามันมีคำตอบจากผู้คนหลากหลายมุมมองซึ่งมันก็ไม่ได้แปลว่าใครผิด หรือ ใครจะถูก แต่ในความคิดผม คาเฟ่ก็คือ ไม่เชิงร้านอาหารเต็ม100 % และ ไม่เชิงเป็นเคาน์เตอร์ขายคีออส แต่มีความก้ำกึ้ง นั่นคือสิ่งที่ผมอยากให้ร้านนี้เป็นคือมากินได้ทุกวันมาได้เรื่อย ๆ มานั่งกินคนเดียวก็ได้มาหลาย ๆ คนก็ได้ มานั่ง 20 นาที หรือจะมานั่ง 2 ชั่วโมงก็ได้ เราพยายามจะ ขายอาหารที่เราตั้งใจทำอาจจะเป็นอาหารที่ง่าย ๆ ไม่ได้ดูเป็นเมนูที่ล้ำอะไรมากมายก็คือเป็นเมนูที่ทำ ได้ทุกวัน
ความอร่อย กับ ความสวยงาม ต้องควบคู่กัน
ผมให้ความสำคัญในรสชาติของอาหารมากกว่า และ เข้าใจว่าในยุคนี้คือยุคของ social media ทั้งหลาย ทุกคนจึงต้องการบริโภคของน่ารักของที่ดูดี ผมว่ารสชาติของอาหาร และ ความสวยงาม มันก็สำคัญทั้งคู่ แต่ท้ายที่สุดแล้วอาหารจะสวยแค่ไหน แต่ กินเข้าไปแล้วรสชาติไม่ได้ เรื่องก็ไม่มีทางจะสั่งเป็นครั้งที่สอง แต่ ในขณะเดียวกันถ้าเรากินอาหารอะไรก็ตาม
ที่ไม่ได้มีหน้าตาสวยงามมาก แต่ มีความอร่อยในที่สุดแล้ว อาหารมันมีไว้เพื่อกิน มันไม่ได้มีไว้ดู แน่นอนเมื่อเราเห็นอย่างแรกเลยเราอาจจะใช้ตามอง ถ้าพูดถึงระยะยาวแล้วผมไม่ได้อยากให้ลูกค้า มาที่นี่เพียงครั้งเดียวเพื่อถ่ายรูปกดชัตเตอร์รัว ๆ และ ไม่มาอีกแล้ว คนอื่นที่มาทานเพราะเห็นรูปสวย พอมากินจริง ๆ ไม่เห็นอร่อยเลยเหมือนกับโดนรูปหลอกมา อาหารร้านผมอาจจะไม่ได้ สวยอะไรมากมาย แต่ผมมั่นใจว่าสิ่งที่ผมขายให้กับลูกค้าเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพความอร่อย อีกอย่างผมอาจจะไม่ได้มีความถนัดในเรื่องศิลปะการจัดวางอะไรมากมาย แน่นอนว่าเรื่องความ สวยงามคือองค์ประกอบส่วนหนึ่งของอาหารจึงพยายามให้ดูดีในระดับหนึ่ง ไม่ใช่มีอะไรก็ใส่ ๆ โยนลงไป คือผมไม่ชอบอาหารที่ มันดู Fake อย่างใช้เวลากับการจัดวางไป 90% แล้วรสชาติ
คุณลืมไปหรือเปล่า
ต้องพร้อมในทุก ๆ ปัจจัย
คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่าทำอาหารอร่อย ทำขนมอร่อยก็สามารถเปิดร้านอาหารได้ ผมยอมรับว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วผมก็คิดอย่างนั้น แต่ ในที่สุดแล้วในเวลาไม่นานจึงรู้ว่า จริง ๆ แล้วเราทำธุรกิจ นี่คือธุรกิจที่เราทำเพื่อมีกำไรมาเลี้ยงดูตัวเอง และต้องมีเงินเพื่อที่จะมาจ่าย ค่าเช่า ค่าจ้างพนักงาน จ่ายภาษี จ่ายนู่นจ่ายนี่จ่ายนั่น อาหารอร่อยอย่างเดียว แต่ บริหารธุรกิจไม่เป็น บริหารคนไม่เป็น ทำการตลาดไม่เป็น เลือกทำเลไม่เป็น ตกแต่งร้านไม่สวย บริการไม่ดี มันก็ไม่ได้ ช่วยอะไร มันไม่มีปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งสำคัญทุกอย่างมันต้องไปด้วยกัน สมมุติว่าเลือก location ที่ดีที่สุดในโลก แต่อาหารไม่อร่อย เครื่องดื่มแย่ มันก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ทั้งหมด ผมจึงพยายามทำทุกส่วนให้มันลงตัวมากที่สุด

ยุค Social ทรงอิทธิพลในการกระตุ้นยอดขาย
ผมเป็นคนที่ชอบไปกิน ชอบไปชิม ร้านต่าง ๆ อยู่แล้วซึ่งส่วนใหญ่ก็เห็นจาก instagram เพื่อน ๆ หรือดารา หลายคนที่ไปกิน มันเหมือนกับเป็นสื่ออีกวิธีหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการบริโภค ถ้าเทียบกับสมัยก่อนสื่อโฆษณาลงได้แค่หนังสือพิมพ์ และ นิตยสาร ถ้าวันไหนไม่ได้เปิดขึ้นมาอ่านทุกอย่างก็หายไป แต่ในปัจจุบันเรา สามารถทำการกด share ได้ต่อไปเรื่อย ๆ มันเป็นสื่อที่ได้เห็น
ความรู้สึกจริง ๆ ของคนที่ได้ไปกินที่ร้าน มากกว่าเมื่อเทียบกับ การตีพิมพ์ลงโฆษณาหน้าหนึ่ง กับ อีกคนที่ได้ไปกินมาจริง ๆ ทุกวันนี้ต้องคำนึง ถึงเรื่องพวกนี้ สมมุติผมทำเครื่องดื่ม 100 ครั้ง
เหมือนกันหมด แต่ครั้งที่ 101 พนักงานรีบ ๆ ทำ ออกมาไม่ดี 100 % ลูกค้าที่รอรับประทาน
ไม่พอใจก็ถ่ายรูปวิจารณ์ลง social media ไม่เห็นเหมือนในรีวิวเลย อาหารก็ไม่อร่อย จัดจานมาก็ไม่สวย พลาดแค่นิดเดียวก็สามารถส่งผลกระทบในแง่ลบได้ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว
ก็มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี ทุกอย่างมันเร็วมากในปัจจุบัน
สวยแค่ไหน ถ้าไม่อร่อยทุกอย่างก็จบ
มันสวยแค่ไหน แต่ถ้าไม่อร่อยเราไม่มีทางกลับไปกินเป็นครั้งต่อไปแน่ ๆ ร้านผมโดยอายุ เฉลี่ยส่วนใหญ่จะเป็นวัยผู้ใหญ่ชาวต่างชาติ คือผมรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้ที่มากินอาหารร้านเราเพราะ รสชาติถูกปากพวกเขา และคนกลุ่มนี้ก็จะกลับมากินเรื่อย ๆ ซึ่งผมรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้
ไม่ได้มากินอาหารที่ร้านเพราะความสวยงาม แต่มาเพราะความอร่อย ประทับใจในบริการ
และ บรรยากาศร้านที่ดี ผมพยายามทำให้ทุกอย่างมันครบรสที่สุดอยากให้มันดูดีด้วยระดับหนึ่ง แต่ความดูดีของอาหารเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องอร่อยด้วย อาหารปัจจัยที่สำคัญที่สุดคืออร่อย และ ถูกปาก
เทรนด์มีมาและก็มีไป
ตั้งแต่ผมเปิดร้านมามันก็ถึงจุดหนึ่งที่เรารู้ตัวว่าเราไม่ใช่แบรนด์ธุรกิจที่ตั้งกลุ่มเป้าหมายไปที่วัยรุ่น เพราะว่า วัยรุ่นคืออะไรหลาย ๆ อย่างที่ตามเทรนด์ เทรนด์มีมาและก็มีไป ซึ่งผมก็เคยออก รายการวัยรุ่น ลงนิตยสารวัยรุ่น ก็มีวัยรุ่นตามมีกินและก็ไม่มาอีกเลย ต้องยอมรับว่าแบรนด์ร้านเรา ไม่ได้อยู่ในห้างที่ไม่ว่าจะยังไงก็มีคนกินแน่นอน เราจึงต้องมีฐานลูกค้าในระดับหนึ่งที่ไว้ใจว่าร้านเรา อาหารอร่อยยังไงพวกเขาก็ต้องกลับมากินเรื่อย ๆ แต่สำหรับวัยรุ่นอาจจะรู้สึกว่าร้านนี้ไม่ดังแล้ว ไม่กินดีกว่า
มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่
ผมว่ามันมีหลาย ๆ ปัจจัยอาจจะด้วยบรรยากาศที่เข้ามาแล้วมีแต่ผู้ใหญ่ และ ราคาที่เราขายอาจจะไม่ได้ย่อมเยาว์ แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีเหตุผลค่าเช่าก็มหาศาล เราไม่สามารถมาขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ ก็มีวัยรุ่นมาบ้างแต่น้อย สมัยก่อนเยอะกว่านี้ ด้วยเหตุผลหลัก ๆ เลยคือเราอาจจะไม่ได้เจาะสื่อสำหรับกลุ่มวัยรุ่น ผมคิดว่าการทำการตลาด เพื่อที่จะขายของให้วัยรุ่นมันเป็นอะไรที่ยาก นอกจากเราจะตั้งใจทำ concept ร้านให้เป็นร้าน วัยรุ่นจริง ๆ เหมือนกับขายลูกค้ากลุ่มผู้ใหญ่แล้วมันแน่นอนกว่า
อยู่ในกระแสมาก ๆ ก็ไม่ดี
การตามกระแสสื่อมาก ๆ บางทีมันก็ไม่ดี ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการผมเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดี มีอยู่ช่วงหนึ่งผมเคยไปออกรายการโทรทัศน์ แล้วคนก็แห่กันมากินเหมือนกับเราบริการได้ไม่ทั่วถึง
จากที่เคยขายได้เรื่อย ๆ อยู่ดี ๆ ก็พุ่งขึ้นมา ทำให้ทั้งอาหารและบริหารมันไม่ดีเท่ากับตอนที่ขายได้
เรื่อย ๆ มีลูกค้าแวะมาตลอด
ค่อยเป็นค่อยไปยั่งยืนกว่า
ผมเปิดร้านมา 5 ปี ถ้ามีกราฟของรายได้ร้านร้านผมคือไปได้เรื่อย ๆ ไม่มีสูงสุดหรือต่ำสุด ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าร้านผมไปอยู่ในห้าง รายได้กราฟก็จะพุ่งขึ้นไปสูงเพียงแค่เวลาไม่นาน และ ก็ตกลงมา หลาย ๆ ร้านจะขายตามเทรน์ ตามกระแส หรือมีคนแชร์ติดตามกันเป็นจำนวนมาก สักพักคนส่วนใหญ่ก็จะรู้ว่าเราจะแห่กันมากินเพื่ออะไร ยืนเข้าคิว 2 ชั่วโมงเพื่อที่จะได้กินโดนัท กินไก่ทอด ต่าง ๆ มันคุ้มกับชีวิตที่เสียไปหรือเปล่า ผมคิดว่ามันยากน่ะที่จะทำอะไรให้มันคุ้มค่า กับการที่ลูกค้ายืนต่อคิวนานขนาดนั้น มันอาจจะมีอะไรอย่างอื่นที่อร่อยน้อยลง แต่ไม่ต้องรอคิว
ผมแค่อยากจะขายของที่ดี ไม่ใช่อะไรที่ฮิตติดเทรน์ อะไรก็ตามที่มันฮิตมันก็เลิกฮิตได้ ก๋วยเตี๋ยวอร่อย อีก 10 ปีมันก็ยังเป็นก๋วยเตี๋ยวอร่อยอยู่ แต่อาจจะไม่ใช่รูปลักษณ์ที่ถ่ายแล้วกดแชร์ลงในโซเชียล สวยงาม แต่อย่างขนมที่คนเห่อเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้หลาย ๆ ร้านที่คนเข้าคิวกัน ก็ปิดไปเยอะ
สร้างตัวเองเป็นจุดขาย
บางคนอาจจะฟังดูแปลกเพราะ ผมขายแต่ของที่ผมอยากขาย และ คิดว่าอร่อยสำหรับตัวผม เพราะ ผมไม่สามารถรู้ได้ว่าอร่อยสำหรับคนอื่นต้องเป็นอย่างไร แต่สำหรับเราแล้วต้องอร่อย และทำให้ เต็มที่ อย่างน้อยเราก็มีจุดยืนว่าถ้าไม่อร่อย ก็ไม่ขาย คนมากินถ้าเราทำทุกอย่าง 100 % พนักงานทำตามมาตรฐาน แล้วลูกค้าไม่ชอบ ผมคงต้องบอกว่าขอโทษน่ะครับเสียใจด้วย ที่ไม่ถูกปาก เพราะ นี่คือสไตล์ของร้านเรา ผมคงไม่ปรับรสชาติให้มันเค็มขึ้น หวานขึ้น เพราะถ้าเรา ทำอย่างนั้นสักวันหนึ่งมันจะไม่มีใครชอบ ซึ่งเรายึดติดกับสิ่งที่เราเป็น กับ สิ่งที่เราต้องการ ในเมื่อเรามาทางนี้แล้ว อยากขายสม่ำเสมอมากกว่า แทนที่เสาร์ อาทิตย์ คิวยาวเหยียด แต่วันธรรมดาไม่มีคน ผมอยากขายได้ทุกวันเรื่อย ๆ มากกว่า
สิ่งที่เรากิน … คือสิ่งที่เราเป็น
คนที่กินอาหาร healthy ก็บ่งบอกได้ว่าคนนั้นเป็นคนรักสุขภาพ ดูแลรักษาตัวเอง ในขณะเดียวกัน คนที่กินอาหารดูดี แต่ รสชาติอาจจะไม่ได้อร่อย มันก็แสดงถึงค่านิยมของคนนั้น ๆ ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ผิด บางคนอยากถ่ายรูปลง instagram ว่าเราอยู่ที่นี่น่ะบรรยากาศสวย ซึ่งมันก็ไม่ผิด เพราะมันเป็น
ความสุขของเขา คนเราก็มีสิทธิ์เลือกว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อย่างผมโดนเพื่อนแซวอยู่บ่อย ๆ ว่า กินข้าวมื้อละ 3,000 แต่ใส่เสื้อตัวละ 300 มันก็คือสิทธิ์ของเรา เพราะผมรู้สึกว่าถ้าเราไปซื้อเสื้อผ้า แพง ๆ มาใส่มันก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข แต่สิ่งที่ผมได้กินอะไรดี ๆ คือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข และ มันก็ทำให้ผมทำงานในอาชีพนี้ได้ดี ได้กินอะไรหลากหลายมากขึ้น เป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด
มุมมองที่มีต่อการ Slow Life ในเมืองใหญ่
เราอยู่ในเมือง ๆ หนึ่งที่ใหญ่ ที่รถติด ที่คนไปเบียดกันในรถไฟฟ้า ทุกวัน ๆ ทำงาน กลางคืน
ก็เฮฮาปาร์ตี้ กิน เที่ยว บางจุดเราก็อาจจะต้องถอยมานิดนึง เหยียบเบรคก่อนนิดนึง จริง ๆ มันเป็น ความหมายที่ขัดกัน ในความคิดผมคือ ไม่ต้องมาคอยตามเทรน์ ทำอะไรตามคนอื่น คอยคิดอยู่ตลอด เวลาว่าอะไรคือกระแส สำหรับผมคือการให้เวลากับตัวเองได้พักผ่อนสบาย ๆ รีแลกซ์ซึ่งบางคนอาจจะได้จากการ เข้ามานั่งกินกาแฟในร้านแค่เพียงไม่กี่นาที หรือ ทั้งวัน ก็อาจจะไม่ใช่ทุกคน slow life สำหรับบางคน ก็อาจจะขึ้นเขา ไปเที่ยวในที่ต่าง ๆ มันก็แล้วแต่ความต้องการของคน แต่รู้สึกว่าในปัจจุบันเทรน์ slow life คือการมานั่งกินกาแฟ drip กัน ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะ slow life อะไรมากมาย ถ้าต้องไปในร้านกาแฟที่มีแต่คนเยอะแยะมากมาย
ลูกค้ากับเราต้องมองเป็นพาร์ทเนอร์กัน
ร้านเราไม่ขายกาแฟอย่างเดียว และ ไม่ได้เปิดเพื่อให้คนมานั่งทำงาน คือหลัก ๆ เราคือร้านอาหาร ที่อยู่ในตึก office พักเที่ยงคนมากินข้าวเที่ยง แต่บางทีมีลูกค้ามาคนเดียวนั่งโซฟาตัวใหญ่ กินกาแฟแก้วเดียว นั่งเล่น wifi ในขณะที่มีลูกค้าอีก 5 – 6 คนเข้ามาไม่มีที่นั่ง ก็ต้องมานั่งเบียดกันโต๊ะเล็ก ๆ เราก็มี wifi ให้ใช้ แต่คุณจะกินกาแฟแก้วเดียวผมก็ไม่ว่า แต่รู้สึกว่าคุณกำลังเอา เปรียบพื้นที่ร้านคาเฟ่มากกว่าอย่างอื่น นี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นในร้านอาหาร หลายร้านมากที่มี wifi free ให้ใช้ อย่างร้านอาหารญี่ปุ่น หรือร้านอาหารอื่น ๆ แต่คงไม่มีใครแบก notebook ไปนั่งแช่ในร้านอาหารอยู่แล้ว นอกจากในร้านคาเฟ่เพราะส่วนใหญ่คนก็เข้าใจว่า แล้วไงอ่ะ ก็ฉันสั่งแล้ว ผมก็เคยเจอสั่งแก้วเดียวนั่งกินยันเย็น ถ้ามาแล้วมีพื้นที่ก็โอเค แต่ถ้าคุณมาแล้วใช้ พื้นที่นั่งโต๊ะใหญ่อยู่คนเดียว กับคนที่อยากมาเพื่อกินต้องทนนั่งโต๊ะเล็ก ๆ กัน ซึ่งบางทีก็ควร จะมีความเกรงใจกันบ้าง คุณจะทำอะไรก็สิทธิ์ของคุณ แต่อย่าลืมว่าคุณไม่ได้อยู่ในร้านเพียงคนเดียว ผมว่ามันหมดยุคแล้วที่ร้านอาหาร หรือร้านคาเฟ่หลาย ๆ ร้าน ในสมัยนี้ก็ไม่ได้คิดเหมือนสมัยก่อนที่ ว่าลูกค้าคือพระเจ้า ผมมองว่าลูกค้ากับเราต้องเป็นพาร์ทเนอร์กัน การที่คุณมาร้านเราแล้วคุณเอาจาก เราฝ่ายเดียว เอาเปรียบเราเต็มที่สักวันหนึ่งมันก็ต้องมีอะไรเกิดขึ้น มันอาจจะทำให้เราลำบาก หรือเปล่า กลายเป็นเราต้องมาขึ้นราคาคุณ ต่างคนต้องเห็นใจกันและกัน เราให้บริการคุณ แต่คุณก็ต้องให้เกียรติเราด้วย ไม่มีใครที่อยากเปิดร้านเพื่อให้คนมานั่งขายตรง มานั่งเล่นหุ้น ซึ่งเราไม่ใช่ร้าน internet cafe
ได้อะไรจากประสบการณ์ในการทำธุรกิจ
ทุกคนในโลกนี้ต้องกินอาหาร ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่บางคนอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับ อะไรหลาย ๆ อย่าง แต่อย่างน้อยก็ต้องกิน ต้องเข้าร้านอาหารมันเลยทำให้ผมได้เจอคนในหลากหลายรูปแบบ มากในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นพนักงาน หรือ ลูกค้า ทำให้ผมเป็นคนมีความอดทน และ เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ผมจะบอกกับพนักงานเสมอว่าวันไหนเจอลูกค้าเป็นร้อย ๆ คน แต่มีแค่ 3 คนที่เป็นลูกค้าที่ไม่ดี มันเพียงแค่ 1 % ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นอย่างนี้ก็ต้องทำใจให้นิ่ง ๆ ไว้
ผมต้องฝึกให้ตัวเองเป็นนักธุรกิจด้วย ตอนที่เปิดร้านปีแรก ๆ ไม่เคยเรียนทางด้านธุรกิจมาเลย คิดแค่ว่าจะขายของอร่อย จะทำอาหารทุกจานเอง ทุกวันนี้ผมไม่ได้เข้าครัวนานแล้ว คือมันถึงจุดหนึ่ง ที่เราต้องเข้าใจว่าต้องปล่อย เราต้องสอนคนให้ได้ ต้องไว้ใจคนอื่นให้ได้ ไม่งั้นวันดี คืนดี ป่วย ก็ต้องปิดร้าน เลยต้องพยายามสอนงานให้มีทีม มีคนคอยช่วยเหลือกัน
แพลนในอนาคต
เคยมีห้างติดต่อมาให้ไปเปิดสาขาในห้าง แต่ผมไม่ใช่อารมณ์นักธุรกิจมากมาย ไม่ได้ต้องการที่ จะรวยร้อยล้าน แต่ในที่สุดผมก็ต้องยอมรับว่านี่คือธุรกิจ เหตุผลหนึ่งที่กำลังจะขยายไปอีกสาขา และที่นี่กำลังจะขึ้นค่าเช่ามหาศาล และถ้ามีแค่สาขานี้สาขาเดียวก็เหมือนกับเอาไข่ทุกฟองมาไว้ ในตะกร้าเดียวกัน แล้วฝรั่งก็จะบอกว่าอย่าทำแบบนั้นเพราะถ้าตะกร้านี้ตกแตกทุกอย่างก็จบ เราก็ต้องหาอีกที่มาเป็นฐานธุรกิจให้เรา ณ ตอนนี้ก็ไม่แพลนว่าจะขยายสาขาไปเพิ่มมากกว่านี้ แล้ว ผมไม่ได้ต้องการที่จะกลายเป็นร้านดังในกระแสที่มีเป็นหลายสิบร้านสาขา ผมไม่อยากทำอะไร เกินตัว ไม่ได้อยากกลายเป็นร้านที่ขยายไป 5 สาขา แล้วกลายเป็นร้านที่ลูกค้าเดินเข้ามา
บอกว่าสมัยก่อนอร่อย เดี๋ยวนี้เจ้าของมัวแต่อยู่ office ไม่ได้มาดูร้านเองคุณภาพแย่ลง ซึ่งอาจจะรวยขึ้นมีรายได้เยอะจริง แต่มันทุกอย่างมันต้องควบคู่ไปด้วยกัน ถ้าอยากรวยมีวิธี เยอะแยะ เล่นหุ้นไม่ดีกว่าหรอ ถ้าอยากรวยอย่าเปิดร้านอาหาร หวังเม็ดเงินอย่างเดียวไม่ได้ถ้าใจไม่รักจริง เพราะคุณต้องเจอปัญหาร้อนแปดพันเก้า ที่ต้องแก้ไขด้วยตัวคุณเอง ถ้าใจไม่ได้อยากทำจริง ๆ สู้ไม่ได้ ใจต้องพร้อมที่จะแก้ปัญหาจริง ๆ
มาไกลเกินฝัน
ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เกินความคาดหวังเมื่อ 5 ปีที่แล้วมาก ตอนนั้นคือนึกภาพตัวเองไม่ออกเลย คือผมเป็นคนชอบทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก ที่บ้านก็สนับสนุนให้ไปเรียนทางด้านนี้ แต่ผมก็ มีความติสท์ไปอีกแบบ ซึ่งตอนนั้นเลือกเรียนทางด้านภาพยนตร์ที่บ้านก็ไม่ค่อยสนับสนุน ซึ่งเรียนมาก็ไม่ได้ใช้ ผมมาถึงจุด ๆ นี้ได้เพราะความคิดที่ซื่อ ๆ มาก เพราะ ไปกินร้านโน้น ร้านนี้ไม่เห็นอร่อยเลย เขายังขายดีเลย เราทำอร่อยกว่านี้ได้ต้องขายดีกว่าแน่ ๆ ซึ่งมันก็รู้ตัวเร็ว มาก ว่าไม่ได้มีแค่ปัจจัยเดียวในการทำร้านอาหาร อร่อย อย่างเดียวไม่ได้ เราไม่ได้ขายของในตลาด แต่นี่คือบริษัทหนึ่งที่ต้องบริหารงานใน office ผมเริ่มต้นจากศูนย์เลย คือความไม่รู้ โชคดีที่ผ่านมา ได้เพราะผมเป็นคนยอมรับตัวเองได้เร็ว ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ถือว่ามาไกล จากที่คิดไว้มาก จากที่คิดไว้ขายแค่ลูกค้าในตึก office นี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว ผมไม่อยากพูดคำว่าประสบความสำเร็จได้เต็มปาก เพราะนั่นหมายความว่าคุณพร้อมจะหยุดทุกอย่าง แต่สำหรับผมคือ ยังอยากจะทำอะไรต่อไป ยังมีไอเดียอะไรมากกว่านี้ที่อยากจะทำ
Kommentarer